ประวัติศาสตร์เครื่องสำอางโลก ตอนที่ 1

ความสวยความงามนั้นคือของคู่กันของมนุษยชาติ ซึ่งมนุษย์นั้นรู้จักใช้เครื่องอำอางกันมายาวนานนับพันปี ซึ่งกว่าจะมาเป็นเครื่องสำอางที่เรารู้จักกันในยุคปัจจุบันนั้น เครื่องสำอางได้มีพัฒนาการมาตลอดระยะเวลานับพันปี เรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเครื่องสำอางนั้นก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งบทความนี้เราจะพาท่านผู้อ่านท่องอดีตไปด้วยกัน เชิญรับชมไปพร้อมๆกันได้

เครื่องสำอางเครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงเพื่อใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหึ่งของร่างกาย โดยใช้ทา ถู นวด พ่น หรือโรย มีจุดประสงค์เพื่อทำความสะอาด หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ คำว่า cosmetics มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า kosmetikos ซึ่งมีความหมายว่า ตกแต่งให้สวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้พบเห็น ( คำว่าkomos แปลว่า เครื่องประดับ) โดยในสมัยแรกๆนั้น ใช้เครื่องสำอางเนื่องจากความจำเป็น เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ

กำเนิด และ วิวัฒนาการ เท่าที่ปรากฎในโบราณคดี สันนิษฐานว่าคงมีการใช้เครื่องหอมในพิธีศาสนา สำหรับ บูชาพระเจ้าโดยการเผา ใช้น้ำมันพืชทาตัวหรือใช้อาบศพเพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันจากประเทศตะวันออก และใช้เครื่องหอมนี้ไม่ต่ำกว่า 5000 ปี เชื่อว่าอียิปต์เป็นชาติแรกที่รู้จักศิลปะการตกแต่งและการใช้เครื่องสำอางและแพร่ไปถึงแลสซีเรีย บาบีโลน เปอร์เซียและกรีก เมื่อคราวที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพเข้ายึดประเทศอียิปต์ ประเทศในยุโรปบางส่วน ตลอดจนถึงกรีก ทำให้ความรู้เรื่องเครื่องสำอางแพร่หลาย ศูนย์การของความเจริญอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย จนถึงสมัยจูเลียส ซีซาร์รบชนะกรีก ก็ได้รับศิลปวิทยาการต่างๆมาจากกรีก ศูนย์การของศิลปวิทยาการต่างๆได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงโรม มีการอาบน้ำหอม ในระยะที่โรมันกำลังรุ่งเรือง ซีซาร์ได้ยกกองทัพไปตีอียิปต์ซึ่งมีพระนางคลีโอพัตราเป็นราชินี รู้จักวิธีการใช้ศิลปะการตกแต่งใบหน้าและร่างกาย ทำให้การใช้เครื่องสำอางเป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 Galen บิดาแห่งเภสัชกรรม กายวิภาค อายุศาสตร์และปรัชญา ได้ประดิษฐ์ coldcream ขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันอ่อนกำลังลง ประเทศที่นำหน้าเรื่องเครื่องสำอางคือฝรั่งเศส และมีสเปนเป็นคู่แข่ง

การใช้เครื่องสำอางจัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีมาแต่สมัยโบราณ มีการค้นพบว่า มีการใช้เครื่องสำอางมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จีน อินเดีย และต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวกรีกเป็นชาติแรกที่มีการแยกการแพทย์และเครื่องสำอางออกจากกิจการทางศาสนา และยังถือว่าการใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติต่อร่างกายให้ถูกต้องสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตรประจำวัน ศิลปะการใช้เครื่องสำอางและเครื่องหอมได้ถึงขีดสุดในระหว่าง 2 ศตวรรษแรกแห่งอาณาจักรโรมัน แล้วค่อยๆ เสื่อมลง และเมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมอำนาจลงในศตวรรษที่ 5 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางจึงแพร่หลายเข้าสู่ทวีปยุโรป นอกจากนี้ ชาวอาหรับก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในการผลิตเครื่องสำอาง โดยได้มีการดัดแปลง แก้ไขส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น การใช้กรรมวิธีการกลั่นเพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูง การใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย เป็นต้น

เมื่อศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แพร่หลายเข้าสู่ในประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสได้พยายามเสนอให้มีการแยกกิจการด้านเครื่องสำอางไว้เฉพาะ โดยให้แยกออกจากกิจการด้านการแพทย์ เนื่องจากกิจการด้านการแพทย์และเครื่องสำอางต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมาย ในระหว่างปี ค.ศ. 1400 – 1500 และความพยายามก็ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ.1600 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แยกออกมาจากกิจการด้านการแพทย์อย่างชัดเจน ต่อมาในปี ค.ศ. 1800 ได้มีการรวบรวมและแยกแยะความรู้ในด้านศิลปะการใช้เครื่องสำอางออกเป็นหลายๆ ประเภท เช่น เภสัชกร ช่างเสริมสวย นักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งต้องใช้ความรู้ที่ได้มาจากเภสัชกรรมและครื่องสำอางมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละอาชีพ

การผลิตเครื่องสำอางในช่วงแรกๆ นั้น ยังมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่แน่นอน เครื่องสำอางบางประเภทมีขายในร้านขายยา การผลิตเป็นความรู้ส่วนบุคคลที่ได้รับสืบทอดมาหรือได้จากการศึกษาค้นคว้า ลองผิดลองถูก จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีผู้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตแทนวิธีเก่า และเมื่อผลิตเครื่องสำอางแต่ละชนิดจะมีเครื่องหมายการค้าชัดเจน และ มีกรรม วิธีในการผลิตที่แน่นอน ทำให้เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมีคุณภาพ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิต ทำให้มีการเพิ่มการผลิต และพยายามปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูงขึ้น ต่อมาได้มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เข้ามาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาเคมี ได้มีส่วนเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูง ในการผลิตแต่ละครั้งต้องมีส่วนประกอบที่คงที่ ได้ผลิตภัณฑ์อย่างเดียวกัน มีหลักการเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานในการผลิต และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ในปี ค.ศ. 1895 ได้มีการเปิดสอนวิชาการเครื่องสำอาง ในเมืองชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก ทำให้นักศึกษาได้รู้จักวิธีการใช้เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ในการรักษาผิวหนังและเส้นผม ต่อมาการศึกษาวิชานี้ได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว

ประวัติของเครื่องสำอาง แบ่งตามยุคต่าง ๆ ตามประวัติศาสตร์ของสากลโลก

ยุคอียิปต์ หรือยุคก่อนคริสตกาล

นักโบราณคดียกย่องให้ชาวอียิปต์เป็นชาติแรก ที่รู้จักคิดค้นและผลิตเครื่องสำอาง เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานทางโบราณวัตถุที่เก่าแก่ และร่องรอยในการทำพิธีกรรมทางศาสนา และการบูชาเทพเจ้าต่างๆ ในสมัยนั้น โดยได้มีการเผาเครื่องหอมหรือกำยาน และมีการใช้เครื่องเทศ สมุนไพร และน้ำมันต่างๆ สำหรับรักษาคงสภาพของศพไว้ เพราะมีความเชื่อว่า วิญญาณของคนที่ตายแล้วจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิมอีกครั้ง ในความเป็นจริงประเทศจีน น่าจะเป็นชาติแรกที่มีการผลิตเครื่องสำอางขึ้นมาใช้ แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในการยืนยัน จึงถือว่าประเทศอียิปต์เป็นชาติแรกที่มีการผลิตเครื่องสำอางขึ้นมาใช้ โดยนักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐาน ดังต่อไปนี้

1.1 ที่ฝังพระศพของกษัตริย์องค์แรกในราชวงศ์เทไนท์ (Thenite) นักโบราณคดี ได้ค้นพบภาชนะที่ใช้บรรจุผงสำหรับทาเปลือกตา เรียกว่า Kohl ซึ่งทำมาจากผงเขม่าผสมกับพลวง โดยเครื่องสำอางที่พบนี้ น่าจะมีอายุไม่น้อยกว่า 3,500 ปี ก่อน คริสตกาล

1.2 ที่ฝังพระศพของกษัตริย์องค์ที่ 18   มีการค้นพบดินสอเขียนคิ้วและขอบตา (Stibium pencil) ซึ่งทำมาจาก แอนทิโมนีซัลไฟด์ (antimony sulfide) นอกจากนี้ยังมีการค้นพบ ภาพเขียนในกระดาษพาพีรูส (papyrus) แสดงรูปผู้ชายผู้หญิงใส่เครื่องประดับผม เรียกว่า นาร์ด (Nard) บนศีรษะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชาวอียิปต์ในสมัยนั้น รู้จักการเสริมสวยแล้ว 1,500 ปี ก่อนคริสตกาล

1.3 ที่ฝังพระศพของกษัตริย์ทูทันคาเมน (Tutankhamen)  นักโบราณคดีชื่อ ฮอเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) ได้ค้นพบเครื่องสำอางมากมายหลายชนิด  รวมทั้งน้ำมันหอมชนิดต่างๆ จากกษัตริย์องค์นี้ เมื่อ 1,350 ปี ก่อนคริสตกาล

การเตรียมความงามของสาวอียิปต์

ความลึกลับของชาวอียิปต์โบราณนั้นมีมากมาย และสิ่งหนึ่งที่เป็นที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยคือเคล็ดลับความงามต่างๆ ที่กลายเป็นปรากฎการณ์ร่วมสมัยและมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าจากราวๆ ยุคแรกของอียิปต์นั้น ทั้งชายและหญิงทุกชนชั้นต่างก็ใช้อายไลเนอร์ อายแชโดว์ และลิปสติกสีแดงกันแล้ว!

น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ? หากใครชื่นชอบความงามมาร่วมหาความรู้ไปด้วยกันเลยดีกว่า ว่าเคล็ดลับความงามของราชินีคลีโอพัตราและเนเฟอร์ติตีนั้นมีอะไรบ้าง

#เตรียมผิว

พวกเธอจะขัดผิวด้วยเกลือทะเลเดดซี หรืออาบน้ำนมอย่างหรูหรา มาสก์หน้าด้วยนมและน้ำผึ้ง รวมถึงใช้เม็ดธูปเพื่อดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ใต้วงแขน

ปิดท้ายด้วยการใช้ดอกไม้ผสมเครื่องเทศเพื่อบำรุงผิวให้เนียนนุ่มขึ้น ชาวอียิปต์ยังสร้างการแว๊กซ์ขนตามธรรมชาติด้วยการใช้น้ำตาลและน้ำผึ้ง จนได้กลายมาเป็นการแว๊กซ์คล้ายในปัจจุบันในที่สุด

#เตรียมเครื่องสำอาง

หลังจากเตรียมผิวเรียบร้อยแล้ว เหล่านางกำนัลจะนำส่วนผสมและอุปกรณ์มากมายที่จำเป็นในการแต่งหน้าใส่ในบรรจุภัณฑ์ โดยบรรจุภัณฑ์ของเครื่องสำอางเองก็สามารถสื่อถึงสถานะทางสังคมได้ เช่นว่า หากมีสถานะทางสังคมชั้นสูงก็จะใช้แก้ว ทองคำ หรือหินมีค่า แกะให้มีลักษณะคล้ายกับสัตว์ หรือเทพธิดา เป็นต้น

สัญลักษณ์เหล่านี้แสดงถึงการเกิดใหม่และการฟื้นฟู เชื่อว่าจะสร้างสิ่งพิเศษให้ผู้ที่ถูกแต่งหน้ามีพลังมากขึ้นเอาชนะสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ นางกำนัลจะสร้างอายแชโดว์โดยผสมแป้งมรกตกับไขมันสัตว์หรือน้ำมันพืช ก่อนจะนำมาทาตาด้วยงาช้างที่ถูกแกะสลักเป็นรูปเทพีฮาเธอร์ หรือสัตว์ต่างๆ เป็นต้น

#ลิปสติก

ขั้นตอนสุดท้ายคือการทาลิปสติกสีแดง ซึ่งเป็นสีคลาสสิกจนถึงปัจจุบัน ในการทำสีนั้นมักจะใช้สีเหลืองผสมกับไขมันสัตว์หรือน้ำมันพืชด้วย ซึ่งเคล็ดลับของราชินีคลีโอพัตราก็คือการบดขยี้แมลงและนำไปผสม เพราะจะยิ่งทำให้มีเฉดสีแดงที่ตรงใจเธอ อย่างไรก็ตาม การสร้างสีลิปสติกนั้นอาจเกิดสารพิษขึ้นได้ เพราะมักจะถูกผสมกับสีย้อมที่สกัดจากไอโอดีน และโบรมีน นำไปสู่การเจ็บป่วยที่รุนแรง เชื่อว่านี่อาจเป็นที่มาของวลีที่ว่า ‘จูบแห่งความตาย‘ (kiss of death) ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ในอียิปต์โบราณนอกจากเครื่องสำอางจะใช้เพื่อความสวยงามแล้ว มันยังถูกใช้ในพิธีกรรม หรือแสดงถึงความหมายเชิงสัญลักษณ์สื่อถึงอะไรบางอย่างอีกด้วย นับเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว